ธ.ก.ส. คาด “ข้าวเจ้า-ข้าวหอมมะลิ-ข้าวโพด” ราคาตก เหตุผลผลิตออกสู่ตลาดมาก

เรื่องที่น่าสนใจ เศรษฐกิจ (ในประเทศ - ต่างประเทศ)

ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. เผยราคาสินค้าเกษตรในเดือน พ.ย. 2565 ส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เหตุจากภัยธรรมชาติ-เงินบาทอ่อนค่า-ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ทั้ง “ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว-น้ำตาลทรายดิบ-ยางพาราแผ่นดิบ-มันสำปะหลัง-ปาล์มน้ำมัน-สุกร-กุ้งขาวแวนนาไม-โคเนื้อ” ส่วนสินค้าเกษตรที่มีราคาลดลง “ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15%-ข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิ-ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์”

วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 นายไพศาล หงษ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการและโฆษกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนพฤศจิกายน 2565 โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ 1.ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 9,482-9,735 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.61-4.32 เนื่องจากสต๊อกข้าวเหนียวของผู้ประกอบการลดลง ทำให้ผู้ประกอบการเร่งซื้อข้าวเปลือกเหนียวนาปีในช่วงที่กำลังออกสู่ตลาด

2.น้ำตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคาอยู่ที่ 18.81-18.98 เซนต์/ปอนด์ (15.90-16.05 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.86-1.77 เนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการลดกำลังผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงของกลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ที่ส่งผลดีต่อราคาเอทานอล ทำให้ผู้ประกอบการเพิ่มสัดส่วนการนำอ้อยไปผลิตเอทานอลมากกว่าผลิตน้ำตาล และคาดว่าปริมาณผลผลิตน้ำตาลของบราซิลและอินเดียอาจลดลงจากปริมาณฝนที่ตกต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณในการเก็บเกี่ยวและเวลาในการหีบอ้อยลดลง ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกน้ำตาลลดลงไปด้วย

3.มันสำปะหลัง ราคาอยู่ที่ 2.65-2.75 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.32-6.18 เนื่องจากความต้องการใช้มันสำปะหลัง ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศจีน ประกอบกับภาวะเงินบาทอ่อนค่า จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนให้การส่งออกมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น

4.ปาล์มน้ำมัน ราคาอยู่ที่ 5.04-5.29 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.79-6.65 เนื่องด้วยผลผลิตปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มลดลงจากปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยเฉพาะภาคใต้ที่เป็นแหล่งปลูกปาล์มน้ำมันที่สำคัญของประเทศ รวมไปถึงปัญหาโรคลำต้นเน่าในปาล์มน้ำมันและปาล์มน้ำมันขาดคอ ทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้น

5.สุกร ราคาอยู่ที่ 104.73-105.08 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.76-1.10 เนื่องด้วยปัญหาสุกรขาดแคลนในประเทศคู่ค้า ทำให้ความต้องการเนื้อสุกรของประเทศคู่ค้าหลักอย่างประเทศจีนเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ ทำให้ต้นทุนการผลิตสุกรไทยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น สาเหตุจากเกษตรกร ผู้เลี้ยงสุกรต้องลงทุนฟื้นฟูฟาร์มและป้องกันโรคในสุกรเพื่อลดความเสี่ยงจากโรคที่มากับน้ำ ส่งผลให้ต้นทุนการเลี้ยงสุกรขุนมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นถึง 300-500 บาทต่อตัว

6.กุ้งขาวแวนนาไม (70 ตัว/กก.) คาดว่า ราคาอยู่ที่ 129.18-132.22 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.52-4.94 เนื่องจากความต้องการบริโภคกุ้งในประเทศเพิ่มขึ้น จากการเริ่มฤดูกาลท่องเที่ยว ทั้งจากนักท่องเที่ยวในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้ปริมาณการบริโภคกุ้งขาวแวนนาไมมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

และ 7.โคเนื้อ ราคาอยู่ที่ 99.50-100.26 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.11-0.88 เนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยที่เริ่มคลี่คลาย สร้างความเชื่อมั่นให้แก่เกษตรกร ว่าจะมีแหล่งอาหารเพียงพอต่อการเลี้ยงสัตว์ จึงยังไม่เร่งจำหน่ายโคเนื้อออกสู่ตลาด ประกอบกับการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว และมาตรการขยายเวลาให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติพำนักในประเทศไทย ทำให้ความต้องการบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงการบริโภคเนื้อโคปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ได้แก่ 1.ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 8,995-9,032 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.03-1.45 เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวนาปีออกสู่ตลาดจำนวนมากกว่าร้อยละ 65 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด ส่งผลให้ราคาปรับตัวลง อย่างไรก็ตาม อิรักยังคงมีคำสั่งซื้อข้าวไทยจนถึงเดือนพฤศจิกายน และแนวโน้มค่าเงินบาทยังคงอ่อนค่า จะยังเป็นปัจจัยในการสนับสนุนการส่งออกข้าวของไทย

2.ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 9.25-9.29 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.75-1.18 เนื่องจากเป็นเดือนที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกสู่ตลาดมากที่สุดกว่า 1.57 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 31.62 ของปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งหมดในปีการผลิต 2565/66 จึงส่งผลให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรับตัวลดลง