ดรามาระหว่างแม่ปูนากับเจ้าหนี้-มิจฉาชีพ: การเคลียร์หนี้ครั้งใหญ่ บทนำ

ข่าวด่วนวันนี้ (ข่าวทั่วไทย)

ในโลกโซเชียลมีเดียของไทย ดรามาและเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างบุคคลมักกลายเป็นประเด็นร้อนที่ผู้คนให้ความสนใจติดตาม โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการออนไลน์ กรณีล่าสุดที่กลายเป็นประเด็นดรามาคือเรื่องราวของ “แม่ปูนาฟ้าใส” เจ้าของร้านอ่องมันปูชื่อดัง ที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นฝ่ายเจ้าหนี้ในกรณีขัดแย้งกับจั๊กกะบุ๋มเชิญยิ้ม แต่ครั้งนี้กลับพลิกบทบาทมาเป็นลูกหนี้แทน

การเจรจาชำระหนี้

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ที่อาคารมาลีนนท์ทาวเวอร์ ได้มีการพบปะระหว่าง น.ส.นา เจ้าหนี้ของแม่ปูนา และนางรชต คำรอด หรือแม่ปูนา เพื่อเคลียร์ปัญหาหนี้สินที่ค้างชำระ การพบกันครั้งนี้นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายขาดการติดต่อกันมาระยะหนึ่ง โดยเฉพาะหลังจากที่เพจดังในโซเชียลมีเดียได้นำเรื่องราวความขัดแย้งนี้มาเผยแพร่ ทำให้กลายเป็นประเด็นสาธารณะ

น.ส.นา ได้เปิดเผยว่า แม่ปูนาเคยเป็นหนี้ตนประมาณ 900,000 บาท และได้ทยอยชำระคืนมาบางส่วนแล้ว แต่ในช่วงหลังกลับขาดการติดต่อ จนกระทั่งมีการนำเรื่องนี้ออกมาเปิดเผยในโซเชียลมีเดีย การเจรจาในวันนี้จึงเกิดขึ้น และมีข้อตกลงที่ทำให้ น.ส.นา พึงพอใจ โดยแม่ปูนาได้ชำระเงินในวันนี้จำนวน 50,000 บาท และจะทยอยจ่ายเดือนละ 50,000 บาท หรือมากกว่านั้น จนครบจำนวน 450,000 บาท

คำชี้แจงจากแม่ปูนา

แม่ปูนาได้ชี้แจงกับสื่อมวลชนว่า ตนมีความตั้งใจที่จะชำระหนี้คืนให้กับ น.ส.นา อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่สามารถติดต่อกับเจ้าหนี้ได้ พร้อมกับอ้างว่ามีปัญหาในการใช้เฟซบุ๊กเก่าเนื่องจากถูกมิจฉาชีพรายหนึ่งชื่อ น.ส.นิสา ก่อกวน ทำให้ไม่สามารถดำเนินการติดต่อได้ตามปกติ

แม่ปูนายังเน้นย้ำว่าตนเข้าใจความรู้สึกของเจ้าหนี้เป็นอย่างดี เนื่องจากตนเองก็เคยอยู่ในสถานะเจ้าหนี้มาก่อน และตั้งใจจะชำระหนี้คืนให้ครบถ้วน นอกจากนี้ยังได้ประกาศว่าจะทยอยคืนเงินให้กับเจ้าหนี้ทุกคน โดยเฉพาะอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังที่เคยให้ความช่วยเหลือตน ซึ่งจะเป็นรายแรกที่จะได้รับเงินคืน

ข้อกล่าวหาต่อ น.ส.นิสา

ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ แม่ปูนาได้กล่าวหา น.ส.นิสา อย่างหนักว่าเป็นผู้ที่สร้างปัญหาให้กับตน โดยกล่าวว่า น.ส.นิสา ได้แอบอ้างชื่อและใช้บัญชี TikTok เพื่อรับออเดอร์สินค้าในนามของตน รวมทั้งใช้บัญชีม้าในการรับโอนเงิน ซึ่งแม่ปูนาอ้างว่าไม่ได้ยินยอมให้กระทำการดังกล่าว

นอกจากนี้ แม่ปูนายังกล่าวว่า น.ส.นิสา เคยติดต่อขอเป็นผู้จัดการส่วนตัวและแอดมินเพจของตน ก่อนที่ตนจะพบว่ามีการดูดข้อมูลจากเพจโดยไม่ได้รับอนุญาต จนต้องแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

คำชี้แจงจาก น.ส.นิสา

ฝั่งของ น.ส.นิสาได้ยอมรับว่า ตนเองเคยโพสต์อ้างเป็นแม่ปูนาฟ้าใสเพื่อรับออเดอร์จากลูกค้าจริง โดยไม่ได้ขออนุญาตเจ้าตัวก่อน แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าตนบังคับให้แม่ปูนาถ่ายคลิปหรือพูดข้อความใดๆ ตามที่ถูกกล่าวหา และยืนยันว่าไม่เคยขอเป็นผู้จัดการให้แม่ปูนา เพราะแม่ปูนาไม่ใช่ดารา

น.ส.นิสา ยอมรับว่าเคยเป็นแอดมินเพจของแม่ปูนาจริง แต่เพียง 3-4 วันเท่านั้น เนื่องจากได้เห็นแผนการที่จะออกรายการโทรทัศน์ในช่วงปีที่ผ่านมา จึงตัดสินใจถอนตัวออกมา โดยมีข้อตกลงเรื่องค่าตอบแทนในการทำงานเป็นแอดมินแชทละ 10 บาท ซึ่งตนยังได้รับค่าตอบแทนนี้จนถึงปัจจุบัน

การยอมรับความผิดในอดีต

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถาม น.ส.นิสา เกี่ยวกับกรณีที่ใช้ชื่อบุคคลอื่นในการรับเงิน น.ส.นิสา ได้ยอมรับว่าตนใช้ชื่อของแฟนและน้องของแฟนเป็นบัญชีในการรับเงิน เนื่องจากตนเองติดแบล็กลิสต์จากการที่เคยโกงมาก่อน และมีประวัติปรากฏอยู่ในกูเกิล ทำให้ไม่สามารถใช้บัญชีของตนเองในการทำธุรกรรมได้

ที่น่าสนใจคือ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ น.ส.นิสา กลับตอบว่า จะมองอย่างไรก็ได้ เพราะเหตุผลที่ตนออกมาเปิดเผยในวันนี้ก็เพียงต้องการให้ น.ส.นา ได้รับเงินคืนเท่านั้น

บทสรุป

กรณีความขัดแย้งระหว่างแม่ปูนาฟ้าใสกับเจ้าหนี้และ น.ส.นิสา สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ทางธุรกิจและความไว้เนื้อเชื่อใจในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะในวงการอินฟลูเอนเซอร์และการค้าออนไลน์ ที่บางครั้งเส้นแบ่งระหว่างความถูกต้องและการหลอกลวงอาจเลือนรางได้

แม้ว่าในวันนี้จะมีข้อตกลงในการชำระหนี้ที่ทำให้เจ้าหนี้พอใจ แต่เรื่องราวนี้ก็เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ที่ทำธุรกิจออนไลน์ ที่ต้องระมัดระวังในการบริหารจัดการการเงินและการมอบความไว้วางใจให้กับผู้อื่น รวมถึงการเลือกบุคคลที่จะมาร่วมงานหรือช่วยดูแลธุรกิจของตน

การยอมรับความผิดพลาดและรับผิดชอบต่อหนี้สินที่มี ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการแก้ไขปัญหา และการที่ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้ในที่สุด แม้จะผ่านความขัดแย้งและการเปิดเผยต่อสาธารณะ ก็นับเป็นทางออกที่ดีกว่าการปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อ หรือลุกลามเป็นคดีความในชั้นศาล